พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เรียนชี้แจงผลการปฎิบัติยุทธการ ตรวจค้นจับกุมเครือข่ายบัญชีม้า CALL CENTER หลอกลวงผู้เสียหาย ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขับเคลื่อนการสืบสวนปราบปรามและจับกุมอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จึงได้กำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการหลอกลวงข่มขู่ให้เกิดความเกรงกลัวหรือคดีคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก
วันนี้ (11 ต.ค.65) เวลา 14.00 น. กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์ จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท.,พล.ต.ต.วิวัฒน์ คำชำนาญ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.นิเวศน์ อาภาวศิน รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ไพโรจน์ สุขรวยธนโชติ รอง ผบช.ฯ ปฏิบัติราชการ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.สุรพล เปรมบุตร รอง ผบช.ฯ ปฏิบัติราชการ รอง ผบช.สอท., พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 , พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. และผู้เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวยุทธการตรวจค้นจับกุมเครือข่ายบัญชีม้า “Call Center แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ปลอมแปลงเว็ปไซต์และข้อมูลหน่วยงานราชการ หลอกลวงประชาชนหลงเชื่อโอนเงิน”
โดยเมื่อวันที่ 21ก.ค.65 ผู้เสียหาย ได้แจ้งความร้องทุกข์ผ่านระบบรับแจ้งความออนไลน์ (www.thaipoliceonline.com) กรณีถูกคนร้ายอ้างว่าผู้เสียหายมีส่วนร่วมในการกระทำผิดอาญาและส่งหมายจับปลอมของหน่วยงานราชการที่คนร้ายทำการปลอมแปลงให้ผู้เสียหายดู เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อคนร้ายก็ได้สั่งให้ผู้เสียหายโอนเงินไปยังบัญชีที่คนร้ายเตรียมไว้(บัญชีม้า) โดยให้เหตุผลว่าต้องตรวจสอบเงินจำนวนดังกล่าวว่าได้มาอย่างถูกต้องหรือไม่ รวมยอดเงินที่ผู้เสียหายโอนไปทั้งสิ้นเป็นจำนวนเงิน 6,976,094.87 บาท คดีดังกล่าวนั้นพนักงานสอบสวน กก.3 บก.สอท.4 ได้รับคำร้องทุกข์และเร่งรัดสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมผู้ต้องหาในคดีนี้ และเมื่อวันที่ 7 ก.ย.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.4 บช.สอท. ได้นำกำลังชุดปฏิบัติการสืบสวนสอบสวน พร้อมหมายค้นของศาลอาญา เข้าตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นที่พักอาศัยและใช้ในการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลสัญชาติจีน-ไต้หวันในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร จำนวน 2 จุด
โดยสามารถจับกุมผู้ต้องหา สัญชาติจีน-ไต้หวัน ได้ 2 ราย และสัญชาติจีน 1 ราย ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้ถือบัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) ในการทำธุรกรรมทั้ง 2 จุด พบของกลางรวม 61 รายการ ประกอบไปด้วย โทรศัพท์เคลื่อนที่พร้อมซิมการ์ด จำนวน 39 เครื่อง, คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ค , สมุดบัญชีธนาคารพร้อมบัตรเอทีเอ็ม , หนังสือเดินทางและของกลางรายการอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับคดีคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการสืบสวนขยายผลผู้ถูกจับพบว่ามีแอพพลิเคชั่นของธนาคาร (Internet Banking) โดยมีการลงทะเบียนผูกกับบัญชีธนาคารของบุคคลอื่น (บัญชีม้า) ติดตั้งอยู่ภายในโทรศัพท์ รวมทั้งสิ้น 13 บัญชี ซึ่งผู้ถูกจับให้การว่าบัญชีธนาคารอิเล็กทรอนิกส์ที่ตรวจพบมีไว้สำหรับใช้ในการหลอกลวงประชาชนให้โอนเงินมาที่บัญชีดังกล่าว และยังพบว่าบัญชีเหล่านี้มีความเชื่อมโยงและเกี่ยวข้องในคดีคอลเซนเตอร์ (Call Center) อีกหลายคดี และเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กของผู้ถูกจับพบข้อมูลที่มีไว้เพื่อใช้หลอกลวงผู้เสียหายภายในโปรแกรมพบ หมายเรียก หมายจับ หมายคดีฟอกเงินของ ปปง.,หมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ที่ถูกปลอมแปลงขึ้นมาโดยปรากฎชื่อประชาชนและบุคคลอื่นในเอกสารดังกล่าวเป็นจำนวนมาก และยังตรวจพบเว็ปไซต์หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายต่างๆที่มีการปลอมแปลงขึ้นเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กลุ่มคนร้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จับกุมตัวผู้ถูกจับพร้อมทั้งตรวจยึดของกลางนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ต่อมาในวันที่ 10 ต.ค.65 เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.4 เปิดยุทธการ “เด็ดปีกมังกร ” ทำการจับกุมผู้ต้องหากลุ่มเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) ตามหมายจับของศาลอาญา จำนวน 17 หมาย ผู้ต้องหา 16 ราย โดยแบ่งกลุ่มผู้ต้องหา ออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มรับจ้างเปิดบัญชีม้า จำนวน 8 หมาย ผู้ต้องหา 8 ราย
- กลุ่มรวบรวมบัญชีม้าเพื่อส่งต่อให้กับนายทุนชาวจีน จำนวน 1 หมาย ผู้ต้องหา 1 ราย
- กลุ่มทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลผู้เสียหาย เพื่อนำมาใช้ในการหลอกลวง จำนวน 3 หมาย ผู้ต้องหา 2 ราย
สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งสิ้น จำนวน 14 หมาย รวมผู้ต้องหา จำนวน 13 ราย ทั้งนี้ยังมีผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุมมาดำเนินคดีอีก จำนวน 3 หมาย รวมผู้ต้องหา จำนวน 3 ราย
กลุ่มผู้ถูกจับมีการหลอกลวงผู้เสียหายมาแล้วจำนวนหลายราย โดยมีมูลค่าความเสียหายทั้งสิ้นกว่า 200 ล้านบาท โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.สอท.4 บช.สอท. จะได้ทำการสืบสวนขยายผลจับกุมทลายเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ (Call Center) และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง รวมถึงติดตามทรัพย์สินนำกลับมาคืนให้กับผู้เสียหายต่อไป
ทั้งนี้การปฏิบัติการของ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) ยังคงมุ่งมั่น บังคับใช้กฎหมาย ปราบปรามจับกุมผู้กระทำความผิดอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม คำนึงถึงความเดือดร้อน และการอำนวยความยุติธรรมของพี่น้องประชาชนเป็นสำคัญ หากประชาชนท่านใดพบเบาะแสในการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายังกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี เลขที่ 904 ชั้น 9 อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ (รัชกาลที่ 10) ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือ www.thaipoliceonline.com