ข่าวปลอม กรมอุตุฯ รายงานพบพายุใต้ฝุ่นกำลังจะพัดขึ้นฝั่งที่ จ.นครศรีธรรมราช

วันที่ 4 ก.ย. 64 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับการยืนยันว่ามีการ ตรวจพบ ข่าวปลอม เพิ่มเติม 1 กรณีคือ

กรณีที่ได้มีการให้ข้อมูลสภาพอากาศประเทศไทย เกี่ยวกับเรื่อง กรมอุตุฯ รายงานพบพายุใต้ฝุ่นกำลังจะพัดขึ้นฝั่งที่ จ.นครศรีธรรมราช ให้ศูนย์เตือนภัยส่งสัญญาณเตือนประชาชน ทางศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกับทางกรมอุตุนิยมวิทยา กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม พบว่าข้อมูลดังกล่าวนั้น เป็นข้อมูลเท็จ

กรณีการส่งต่อข้อมูลสภาพอากาศประเทศไทย โดยระบุว่าขณะนี้กรมอุตุฯ ได้รายงานว่าพบพายุใต้ฝุ่นกำลังจะพัดขึ้นฝั่งที่ จ.นครศรีธรรมราช จึงให้ศูนย์เตือนภัยส่งสัญญาณเตือนประชาชนนั้น ทางกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ตรวจสอบและชี้แจงว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ได้มีที่มาจากแหล่งข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา โดยจากการติดตามสถานการณ์พายุหมุนเขตร้อนในขณะนี้ ยังไม่ปรากฏมีการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน ใกล้บริเวณประเทศไทยและภาคใต้แต่อย่างไร ส่วนพยากรณ์อากาศ 24 ชม. ข้างหน้า ของวันที่ 4 กันยายน 2564 พบว่าร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณอ่าวตังเกี๋ย ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ลักษณะเช่นนี้ทำให้ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคตะวันออก ยังคงมีฝนตกหนักบางแห่ง

ดังนั้นขอให้ประชาชนอย่าหลงเชื่อ และขอความร่วมมือไม่ส่ง หรือแชร์ข้อมูลดังกล่าวต่อในช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ และเพื่อมิให้เกิดความสับสน และตื่นตระหนกขึ้นในสังคม หากมีสงสัยหรือต้องการข้อมูลเพื่อเติมสามารถติดตามได้ที่เว็บไซต์ www.tmd.go.th โทรสายด่วน 1182

บทสรุปของเรื่องนี้คือ : ข้อมูลดังกล่าวไม่เป็นความจริง และไม่ได้มีที่มาจากแหล่งข้อมูลของกรมอุตุนิยมวิทยา อีกทั้งในปัจจุบันยังไม่ปรากฏการก่อตัวของพายุหมุนเขตร้อน ใกล้บริเวณประเทศไทยและภาคใต้แต่อย่างไร

รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกล่าวเพิ่มเติมว่า การผลิตข่าวปลอม สร้างข่าวบิดเบือน ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนสับสน เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ มาตรา 14(2),(5) มีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และอาจเข้าข่ายความผิดตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมทั้งกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะดำเนินการตามกฎหมายกับผู้ที่ผลิตข่าวปลอมและผู้ที่เผยแพร่ทุกรายอย่างเด็ดขาดจริงจังและต่อเนื่องต่อไป
ทั้งนี้ หากพี่น้องประชาชนพบข้อมูลการกระทำผิด สามารถแจ้งเบาะแสข่าวผ่าน
5 ช่องทาง ได้แก่ เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com, เฟซบุ๊ก ANTI-FAKE NEWS CENTER, ทวิตเตอร์ @AFNCThailand, ไลน์ @antifakenewscenter, ช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87 และสายด่วน 1599 ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม สำนักงานตำรวจแห่งชาติ”