ตร.ชุดยาเสพติดบุรีรัมย์ ตามล่าแก๊งพ่อค้ายา ได้ของกลางร่วมแสนเม็ด รอง ผบช.ภาค 3 เผย ยาเสพติดยังแพร่ระบาด แต่คงที่ พร้อมเดินหน้าโครงการ”การแก้ไขปัญหายาเสพติดในชุมชนอย่างยั่งยืน”ร่วมกับชุมชนออกค่าย 2 เดือนผ่านได้ผลเกินคาด วัยรุ่นเดินมาหาขอบำบัด เตรียมขยายผลสนองนโยบายของรัฐบาล
วันที่ 30 มิ.ย.64 ที่หอประชุมชัยจินดา ตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ พล.ต.ต.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 เดินทางมาแถลงการณ์จับกุมยาเสพติด พร้อมให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติงาน ที่ต้องเสี่ยงภัยด้านความปลอดภัยอัตรายจากนักค้ายา และภัยจากการติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ที่กำลังแพร่ระบาดอยู่ในขณะนี้
การจับกุมนักค้ายาเสพติดในครั้งนี้ของตำรวจภูธรจังหวัดบุรีรัมย์ ได้ใช้แผนตามยุทธการ “ พิฆาตทรชนคนค้ายาอีสานใต้”สามารถจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดรายสำคัญ 4 ราย ผู้ต้องหา 6 คน ของกลางยาบ้า 98,814 เม็ด อาวุธปืนพกสั้น(ลูกซอง) จำนวน 1 กระบอก กระสุนปืนลูกซอง จำนวน 1 นัด และทำการตรวจยึดทรัพย์สินตาม พ.ร.บ.มาตรการฯ พ.ศ. ๒๕๓๔ รถยนต์ จำนวน 3 คัน รวมมูลค่าประมาณ 900,000 บาท
ทั้งนี้เป็นนโยบายรัฐบาลโดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๖3 ได้กำหนดให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการอย่างจริงจังทั้งระบบ
โดยเร่งรัดการแก้ไขปัญหายาเสพติด ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน และการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด รวมถึงการร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน ปราบปรามแหล่งผลิตและเครือข่ายผู้ค้ายาเสพติด ทั้งพื้นที่แนวชายแดนและพื้นที่ตอนใน โดยให้เป็นการแก้ไขปัญหาภายในของประเทศด้วยกฎหมายไทยและหลักสากล
รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 กล่าวด้วยว่า การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นเรื่องสำคัญ นอกจากรัฐบาลได้มีนโยบายปราบนักค้ายาแล้ว ยังได้จัดทำโครงการ”ชุมชนยั่งยืน เพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดแบบครบวงจรตามยุทธศาสตร์ชาติ”ตามนโยบายของรัฐบาล
ด้วยการให้หลายหน่วยงานร่วมมือกัน ทั้งตำรวจ สาธารณสุข ผู้นำชุมชน ฝ่ายปกครอง ลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับทุกหน่วยงาน แล้วเปิดโครงการเป็นเวลา 3 เดือน โดยเลือกเอาชุมชนที่มีการแพร่ระบาดของยาเสพติดก่อน
จากนั้นได้เปิดโอกาสให้ผู้ที่หลงผิด เดินมาหาขอบำบัดเอง โดยไม่มีใครบังคับ แต่หากพ้นกำหนดระยะเวลาที่กำหนด จะดำเนินการขั้นเฉียบขาด ทำให้มีวัยรุ่นที่เสพยาเสพติด เดินทางเข้ามาหาเจ้าหน้าที่เป็นจำนวนมาก
สร้างความอบอุ่นให้กับผู้ปกครองเด็กและคนในชุมชนเป็นอย่างมาก ระยะสองเดือนหลังเปิดโครงการมาทั้งหมด 236 หมู่บ้านของภาค 3 จำนวน 8 จังหวัด มีเสียงตอบรับเป็นอย่างดีทั้งผู้เสพและประชาชน นอกจากนี้ยังมีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เห็นผลลัพธ์ ต่างยื่นมือมาขอสนับสนุนเรื่องงบประมาณอีกเป็นจำนวนมาก โดยที่ผ่านมาได้รับงบประมาณจากรัฐบาลมาโครงการละ 47,000 บาท ต่อชุมชน หากท้องถิ่นมาสนับสนุนอีก เชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมอย่างแน่นอน