พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รอง โฆษก ตร. และ โฆษก กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) กล่าวถึงกรณีที่สื่อสังคมออนไลน์ได้มีการเสนอเกี่ยวกับ “เตือนภัยกลโกงออนไลน์ในรูปแบบใหม่ หลอกซื้อ CryptoCurrency ที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน ”
ในปัจจุบันที่ยังอยู่ในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่พี่น้องประชาชน บางคนอาจจะต้องทำงานอยู่บ้าน บางคนอาจจะหารายได้ได้ไม่เท่าเดิม ทำให้ต้องหารายได้เสริมมาเพื่อจุนเจือตนเองและครอบครัว แต่ก็ยังมีเหล่ามิจฉาชีพที่อาศัยช่องว่างจากความต้องการของพี่น้องประชาชนนี้ในการกระทำความผิด ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาก็พบว่ามีการกระทำความผิดในลักษณะของการหลอกลวงให้ลงทุน ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง รูปแบบก็จะคล้ายๆเดิม เพียงแต่ในปัจจุบันกระแสของ CryptoCurrency กำลังได้รับความนิยม ก็จะมีการล่อลวงให้ผู้เสียหายลงทุน CryptoCurrency ซึ่งก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงกลอุบายเพียงเล็กน้อย แต่เป้าหมายนั้นก็ยังไม่ต่างจากกลโกงในรูปแบบอื่นๆ
โดยขอเรียนชี้แจงถึงกรณี ที่เพิ่งเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 4 มิถุนายน 2564 ได้มีผู้เสียหายมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองจันทบุรี จ.จันทบุรี ว่าในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทางผู้เสียหายได้พูดคุยกับหญิงชาวจีนคนหนึ่ง ผ่านแอพพลิเคชั่น Line จนสนิทสนมกัน จากนั้นหญิงชาวจีนคนดังกล่าวได้ชักชวนให้ผู้เสียหายลงทุน CryptoCurrency โดยการให้ไปซื้อเหรียญ Crypto ในสกุลหนึ่ง และโอนไปให้ผู้ต้องหา เป็นจำนวน 4 ครั้ง ยอดเงินรวม 1.9 ล้านบาท ผ่านเว็บไซต์ซึ่งขายเหรียญ Crypto อีกสกุลหนึ่ง ซึ่งผู้ต้องหาอ้างว่าการลงทุนซื้อเหรียญดังกล่าวมีผลตอบแทนสูง จากนั้นเมื่อผู้เสียหายต้องการถอนเงิน ผู้ต้องหาก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด จนวันที่ 4 มิถุนายน 2564 ทางผู้เสียหายก็ยังไม่สามารถถอนเงินออกมาได้ จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
การกระทำลักษณะดังกล่าวเข้าข่ายเป็นความผิดฐาน โดยทุจริตหรือหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ตาม พรบ.การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (1) วรรคท้าย มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และความผิดฐานฉ้อโกง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หรือกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องโดยดูจากพฤติการณ์แต่ละกรณีมาประกอบ ซึ่งในฐานความผิดดังกล่าวเป็นความผิดต่อส่วนตัว หากต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดี ผู้เสียหายจะต้องมาร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดต่อไป
รองโฆษก ตร. และ โฆษก บช.สอท. จึงขอฝากเตือนภัยและประชาสัมพันธ์แนวทางการป้องกันเพื่อหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อดังนี้1. ควรศึกษาทำความเข้าใจกับสิ่งที่จะนำเงินไปลงทุนด้วยทุกครั้ง โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ควรมีความเข้าใจในระบบ ว่ามีกลไกการทำงานอย่างไร หรือหากมีความรู้ความเข้าใจควรจะเข้าไปศึกษาตัวโค้ด smart contract ของระบบเพิ่มเติมว่ายังมีจุดบกพร่องใดอยู่ และถ้าระบบนั้นได้รับการตรวจสอบ(audit) จากผู้ให้บริการ audit ควรไปศึกษาผลการ audit เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน2. หากเลือกที่จะลงทุนในโลกออนไลน์แล้ว ควรติดตามข่าวสารของบริษัทที่ลงทุนอยู่เสมอ เพราะหากบริษัทใดมีความเสียหายเนื่องจากตัวบริษัทเอง หรือโดนhackระบบข้อมูล ก็อาจส่งผลกระทบต่อนักลงทุน 3. ผู้ที่สนใจลงทุนใน Crypto ควรศึกษาข้อมูลบริษัทที่ได้รับอนุญาตประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น www.sec.or.th ซึ่งเป็นเว็ปไซต์ของทาง ก.ล.ต. เป็นต้น และขอฝากประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ให้ผู้เสียหายรายอื่นๆ ในคดีลักษณะเดียวกันนี้ ไปร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนในท้องที่ที่เกิดเหตุ เพื่อดำเนินการตามกฎหมายในทุกมิติต่อไปขอให้กรณีที่ได้กล่าวไปเป็นอุทาหรณ์ในการตัดสินใจจะลงทุนในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 นี้ ยิ่งต้องใช้วิจารณญาณให้มากกว่าเดิมและขอให้พี่น้องประชาชนตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนให้ดี ว่าการลงทุนดังกล่าวนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ มีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด หลีกเลี่ยงการลงทุนหรือข้อเสนอที่ฟังดูดีเกินกว่าจะเป็นไปได้ พึงระลึกไว้เสมอว่า “ไม่มีสิ่งใดได้มาโดยง่าย โดยเฉพาะเรื่องเงิน” และ “การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ” สุดท้ายนี้ ขอให้พี่น้องประชาชนคอยติดตามข่าวสารอยู่เสมอ เพื่อจะได้รู้ทันกลโกงของเหล่ามิจฉาชีพ นอกจากนี้หากพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด สามารถแจ้งไปยัง Call Center สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หมายเลขโทรศัพท์ 191 หรือ 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง